Print on Demand มีแบบไหนบ้าง
ธุรกิจ Print on Demand (POD) ไม่ได้มีแบบเดียว
หลายๆคนที่รู้จักธุรกิจนี้จาก Amazon Merch, Redbubble, Teepublic, Spreadshity, Zazzle อาจจะเข้าใจว่า การทำ POD นั้น แทบไม่มีต้นทุนอะไรเลย
เพราะเราแค่
1) Research ว่าจะทำอะไรดี
2) Design ออกแบบลายที่เราคิดว่าคนต้องการ
3) Upload ลงสินค้าในเว็บไซท์
เมื่อไรที่ลูกค้าสั่งซื้o ทางบริษัทเว็บเหล่านี้ จะผลิตสินค้าและส่งให้ลูกค้าเลย โดยที่เราไม่ต้องติดต่ออะไรกับใคร และไม่ต้องมีต้นทุนในส่วนของการผลิตหรือสต๊อกสินค้าอะไรเลย
ที่จริงแล้ว มันยังมี Print on Demand ที่ไม่ใช่แค่ 3 ขั้นตอนนี้เช่นกัน
ในหลายๆเว็บ หลังบ้านเค้าไม่ได้มีโรงงานผลิตสินค้าให้แบบ 5 เว็บข้างบนนี้ที่เรามักรู้จักกัน แต่เราก็สามารถทำธุรกิจ POD ได้เช่นกัน
แต่ก็จะมีขั้นตอนเพิ่มขึ้นมา (และมีต้นทุนโผล่เข้ามาด้วย)
..เช่น การทำ POD ในเว็บ etsy, Amazon, eBay, Shopify, etc... เป็นต้น
Amazon ในที่นี้จะหมายถึง Amazon Seller
.. แม้จะvายอยู่ในเว็บเดียวกัน แต่ไม่เหมือนกับ Amazon Merch ค่ะ
อะ มาดูที่รูปดีกว่า
ฝั่งซ้าย คือ POD ที่หลายๆคนรู้จักกัน มีหน้าที่คือ
1) Research ว่าจะทำอะไรดี
2) Design ออกแบบลายที่เราคิดว่าคนต้องการ
3) Upload ลงสินค้าในเว็บไซท์
ถ้าลูกค้าซื้อสินค้าเมื่อไร ระบบหลังบ้านจะส่งข้อมูลไปให้กับทาง website เพื่อให้โรงงานที่ website นั้นดูแลอยู่ ผลิตสินค้าที่ลูกค้าสั่ง และส่งของไปถึงบ้านลูกค้า โดยที่เราไม่ต้องรู้เรื่องอะไรเลยก็ได้
ไม่ต้องควักเงินต้นทุนค่าสินค้าอะไรเลย ไม่ต้องคิดถึงเรื่องค่าขนส่ง ไม่ต้องคิดถึงเรื่องภาษีต่างๆว่าลูกค้าจะต้องจ่าย หรือเราต้องจ่ายแทน เป็นต้น
POD เหล่านี้ได้แก่ Amazon Merch on Demand, Redbubble, Teepublic, Spreadshity, Zazzle
ทีนี้มาทางฝั่งขวาบ้าง
เนื่องจากว่า หลายๆเว็บ เค้าไม่มีระบบหลังบ้านที่จะรับข้อมูล ผลิตสินค้า หรือส่งสินค้าแทนเราแบบทางฝั่งซ้าย ทำให้เราจำเป็นต้องหาบริษัทที่ผลิตสินค้าให้กับเราได้ และช่วยส่งสินค้าไปยังลูกค้าแทนเรา
ข้อดี :
- เราไม่ต้องสต๊อกสินค้า (เช่นเคย)
- เรามีสินค้าหลากหลายมากขึ้น เพราะตัวกลางพวกนี้ มีสินค้าหลากหลายให้เราเลือกเอาลาย design ของเราไปใช้กับสินค้าของเค้า เพื่อขายให้กับลูกค้า
- เราสามารถลงสินค้าได้มากตามที่เราต้องการตั้งแต่ต้นๆ (ไม่เหมือน Amz Merch ที่มีระบบ Tier เป็นต้น)
บริษัทตัวกลางเหล่านี้ที่หลายๆคนมักรู้จักกัน เช่น Printful, Printify, Laser Chili
ซึ่งแต่ละบริษัทก็จะมีสินค้าหลากหลายให้เราได้เลือก เอาไปลงขายในเว็บต่างๆ
เรามีหน้าที่คือ
1) Research ตัดสินใจว่าจะทำอะไรดี
2) Design ออกแบบลายที่เราคิดว่าคนต้องการ
3) Upload ลงสินค้าในเว็บไซท์
4) ซึ่งจะมีขั้นตอนการเลือกสินค้าเข้ามา
- ว่าบริษัทตัวกลางเหล่านั้นจะมีสินค้าอะไรให้เราเอาไปขายได้บ้าง
- และดูด้วยว่าสินค้าแต่ละชิ้นที่เราจะเลือก มันมีต้นทุนเท่าไร เนื่องจากว่า เวลาที่มีออเดอร์ลูกค้าสั่งเข้ามา เราจะต้อง จ่ายเงินเพื่อให้ทางบริษัทตัวกลางผลิตสินค้านั้นๆ ให้เค้าผลิตให้เรา
- และดู ค่าส่ง แต่ละพื้นที่
- รวมไปถึง ภาษี (ที่บางครั้งอาจมี) หากแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน (เพราะบางทีลูกค้าจะมีปัญหาเรื่องใครรับภาระค่าใช้จ่ายพวกนี้)
สำหรับข้อ 4 นี้ แป้งไม่มั่นใจว่าแต่ละเว็บมีความแตกต่างกันมากน้อยขนาดไหนนะคะ อันนี้เป็นเพียงประสบการณ์ส่วนตัวของแป้งช่วงเวลานึงที่เคยทำรูปแบบนี้ค่ะ
..อ้อ ยังไม่รวมไปถึงเรื่องของ Return (ตอนนั้น แป้งโชคดีที่ไม่เจอเคสนี้ เพราะเงินต้นทุนที่จ่ายไปเพื่อผลิตสินค้า ก็หายไปกับต้นทุนการสั่งผลิตตั้งแต่รอบแรกด้วยค่ะ)
อย่าลืมคำนวนต้นทุนต่างๆ และบวกกำไรให้ไม่กินเนื้อ กันนะคะ หากทำ Print On Demand แบบที่ 2 นี้
POD เหล่านี้ได้แก่ Amazon Seller, Etsy, Ebay, Shopify เป็นต้น
อื่นๆที่ต้องพิจารณา
1) อย่าลืมเช็คค่าใช้จ่ายในการเข้าไปขายในแต่ละเว็บด้วยนะคะ เช่นมีเสียรายเดือนมั้ย หรือลงรายชิ้นละเท่าไร เป็นต้น
2) เมื่อไรที่ลูกค้าสนใจ และสั่งซื้อ เราก็จะได้รับเงิน (สำหรับเรื่องการ hold เงินกี่วัน หรือไม่ hold .. อันนี้แป้งไม่ทราบนะคะ โดยเฉพาะแอคใหม่ ว่าแต่ละเว็บจะมีเรื่องนี้เข้ามามั้ย)
3) สำหรับเรื่องติดต่อพูดคุยกับลูกค้ามั้ย อันนี้อาจจะต้องไปลองดูอีกทีว่าแต่ละเว็บเป็นยังไง .. แต่อย่างแป้งเคยทำใน etsy บางทีลูกค้าก็อาจจะทักมาถามได้ค่ะ (มีพูดถึงอยู่ใน คอร์สฟรี POD ของแป้ง)